วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การแปลบาลีเป็นไทย แปลไทยเป็นบาลี ๑ (สไลด์)

การแปลบาลีเป็นไทย แปลไทยเป็นบาลี ๑




แปลบาลีเป็นไทย แปลไทยเป็นบาลี ๑
บรรยายโดย
พระมหาธานินทร์ อาทิตโร,ดร.
น.ธ.เอก,ป.ธ.๘,พธ.บ.(อังกฤษ),พธ.ม.(บาลี),พธ.ด.(พระพุทธศาสนา)


l ประเภทของการแปล
 ๑. การแปลยกศัพท์
l การแปลที่สำคัญที่ ๓ ประเภท คือ
l ๑. การแปลยกศัพท์
l ๒. การแปลโดยพยัญชนะ
l ๓. การแปลโดยอรรถ
l ตัวอย่างการแปลยกศัพท์
l - สามิโก สูทํ โอทนํ ปาจาเปติ ฯ
l สามิโก อ.เจ้านาย สูทํ ยังพ่อครัว ปาจาเปติ ให้หุงอยู่ โอทนํ ซึ่งข้าวสุก ฯ
l - สตฺถา ธมฺมํ เทเสติ ฯ
l - สตฺถา อ.พระศาสดา เทเสติ ย่อมทรงแสดง ธมฺมํ ซึ่งธรรม ฯ
l ตัวอย่างการแปลโดยพยัญชนะ
l - สามิโก สูทํ โอทนํ ปาจาเปติ ฯ
-      อ.เจ้านาย ยังพ่อครัว ให้หุงอยู่ ซึ่งข้าวสุก ฯ
-      สตฺถา ธมฺมํ เทเสติ ฯ
-      อ.พระศาสดา ย่อมทรงแสดง ซึ่งธรรม ฯ
l ตัวอย่างการแปลโดยอรรถ
l - สามิโก สูทํ โอทนํ ปาจาเปติ ฯ
l - นายใช้พ่อครัวให้หุงข้าว ฯ
l - สตฺถา ธมฺมํ เทเสติ ฯ
l พระศาสดาทรงแสดงธรรม ฯ เป็นต้น
l  
l หลักการแปลและลำดับการแปล

l  ลำดับการแปล มี ๑๑ ขั้น ดังนี้
l ๑. อาลปนะ
l ๒. นิบาตต้นข้อความ
l ๓. บทกาลสัตตมี
l ๔. บทประธาน
l ๕. บทขยายประธาน/บทที่เนื่องด้วยตัวประธาน
l ๖. บทกิริยาในระหว่าง
l ๗. บทขยายกิริยาในระหว่าง
l ๘. ประโยคแทรก
l      ๑) ประโยคอนาทร
            ๒) ประโยคลักขณะ
l ๙. บทขยายประโยคแทรก
l ๑๐. บทกิริยาคุมพากย์
l ๑๑. บทขยายกิริยาคุมพากย์
      
l ๑. บทอาลปนะ

l บทอาลปนะ คือ คำที่ใช้สำหรับร้องเรียก ทักทายกัน มี ๒ ประเภท คือ
l ๑) อาลปนะนาม เช่น สามิ, ตาต, อมฺม, อุปาสก, ภิกฺขุ, ภิกฺขเว เป็นต้น
l ๒) อาลปนะนิบาต เช่น ภนฺเต, อาวุโส, อมฺโภ, ภเณ, เร เป็นต้น
l ตัวอย่างบทอาลปนะนาม
l - สามิ เอโก ปุตฺโต ชาโต ฯ
l ข้าแต่นาย อ.บุตร คนหนึ่ง เกิดแล้ว ฯ
l - กึ กเถสิ ภาติก
l ข้าแต่พี่ชาย อ.ท่าน ย่อมกล่าว ซึ่งคำอะไร ฯ
l - กุหึ ยาสิ อุปาสก
l ดูก่อนอุบาสก อ.ท่าน จะไป ณ ที่ไหน ฯ
l อหํ ธมฺมํ โว ภิกฺขเว เทเสสฺสามิ ฯ
l ดูก่อนภิกษุ ท. อ.เรา จักแสดง ซึ่งธรรม แก่เธอ ท. ฯ
l  - อานนฺท ตฺวํ เอวํ มา วเทหิ ฯ
l ดูก่อนอานนท์ อ.เธอ จงอย่างกล่าว อย่างนี้ ฯ
l ตัวอย่างอาลปนะนิบาต
l อาลปนะนิบาต มี ๑๐ ตัว คือ ยคฺเฆ (ขอเดชะ), ภนฺเต, ภทนฺเต (ข้าแต่ท่านผู้เจริญ), อมฺโภ (แนะท่านผู้เจริญ), อาวุโส (ดูก่อนท่านผู้มีอายุ), ภเณ (แนะพนาย), เร, อเร (เว้ย, โว้ย), เห (เฮ้ย), เช (แนะแม่)
l - กนิฏฺฐภาตา เม อตฺถิ ภนฺเต
l ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อ.น้องชายผู้น้อยที่สุด ของข้าพระองค์ มีอยู่ ฯ
l - ยาหิ อาวุโส
l ดูก่อนท่านผู้มีอายุ อ.ท่าน จงไปเถิด ฯ
l - เตนหิ ภเณ เสว (ตฺวํ) (ภาติกํ) โภเชหิ ฯ
l แนะพนาย ถ้าอย่างนั้น อ.ท่าน ยังพี่ชาย จงให้บริโภค ในวันพรุ่งเถิด ฯ
l - อมฺโภ ตฺวํ เอวํ มา วเทหิ ฯ
l แนะท่านผู้เจริญ อ.ท่าน จงอย่ากล่าว อย่างนี้ ฯ
l  - ตฺวํ ติฏฺฐ เร
l เฮ้ย/เว้ย อ.ท่าน จงหยุด ฯ
l  
l ลำดับที่ ๒ นิบาตต้นข้อความ

l นิบาตต้นข้อความ คือ นิบาตที่วางไว้เพื่อบอกข้อความต่างๆ ในประโยค เช่น บอกเงื่อนไข บอกปฏิเสธ บอกความยอมรับ เป็นต้น เช่น กิร ได้ยินว่า, เจ, สเจ, ยทิ หากว่า, ผิว่า, ถ้าว่า, หนฺท เชิญเถิด, อโห โอ เป็นต้น ในประโยคใดมีนิบาตต้นข้อความศัพท์ใดศัพท์หนึ่งอยู่ด้วยให้แปลหลังบทอาลปนะ แต่ถ้าในประโยคใดไม่มีบทอาลปนะให้แปลนิบาตต้นข้อความก่อนได้ ตัวอย่าง เช่น
l - สเจ เม อกฺขีนิ ปากติกานิ กาตุ สกฺขิสฺสสิ ฯ
l ถ้าว่า อ.ท่าน จักอาจ เพื่ออันกระทำ ซึ่งนัยน์ตา ของฉัน ให้เป็นปกติไซร้ ฯ
l - อโห มหาคุโณ อายสฺมา อานนฺโท ฯ
l โอหนอ อ.พระอานนท์ ผู้มีอายุ ผู้มีคุณมาก ฯ
l - หนฺท อิมํ กหาปณํ คเหตฺวา เทหิ ฯ
l เชิญเถิด อ.ท่าน ถือเอาแล้ว ซึ่งกหาปณะนี้ จงให้เถิด ฯ

l ลำดับที่ ๓ บทกาลสัตตมี


l บทกาลสัตตมี คือ บทที่บอกกาลเวลา มีทั้งที่เป็นบทนาม บทสัพพนาม และบทนิบาต เช่น สมเย, สมยํ ในสมัย, ทิวเส, ทิวสํ ในวัน, อชฺช วันนี้, อิทานิ ในกาลนี้, ปาโต แต่เช้า, หิยฺโย วันวาน, เสว พรุ่งนี้, อถ ครั้งนั้น เป็นต้น ในประโยคใดมีบทหรือศัพท์ที่เป็นสัตตมีวิภัตติที่บอกกาลเวลาอยู่ด้วย ให้แปลก่อนบทประธาน หรืออาจจะแปลเป็นลำดับสุดท้ายของประโยคก็ได้ เช่น
l  - ตสฺมึ สมเย สตฺถา ปริสมชฺเฌ ธมฺมํ เทเสสิ ฯ
l ในสมัยนั้น อ.พระศาสดา ทรงแสดงแล้ว ซึ่งธรรม ในท่ามกลางแห่งบริษัท ฯ
l - ภนฺเต เสว อมฺหากํ ภิกฺขํ คณฺหถ ฯ
l ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พรุ่งนี้ อ.ท่าน ท. จงรับ ซึ่งภิกษา ของข้าพเจ้า ท. เถิด ฯ
l - อถ สพฺเพ ปพฺพชฺชํ ยาจึสุ ฯ
l ครั้งนั้น อ.ชน ท. ทั้งปวง ทูลขอแล้ว ซึ่งการบวช ฯ
l - ตทา สาวตฺถิยํ สตฺต มนุสฺสโกฏิโย วสนฺติ ฯ
l ในกาลนั้น อ. โกฏิแห่งมนุษย์ ท. ๗ ย่อมอยู่ ในเมืองชื่อว่าสาวัตถี ฯ
l - อชฺช ภนฺเต โอกาโส นตฺถิ ฯ
l ข้าแต่ท่านผู้เจริย ในวันนี้ อ.โอกาส ย่อมไม่มี ฯ

l ลำดับที่ ๔ บทประธาน


l บทประธาน คือบทที่เป็นเจ้าของกิริยาในประโยค ประกอบรูปศัพท์มาจากปฐมาวิภัตติ สิ, โย วิภัตติ ออกสำเนียงอายตนิบาตว่า อันว่า มี ๒ ประเภท คือ
l ๑) บทประธานทั่วไป เช่น ปุริโส บุรุษ, กญฺญา นางสาวน้อย, กุลํ ตระกูล เป็นต้น
l ๒) บทประธานพิเศษ เช่น เอวํ อ.อย่างนั้น, ตถา อ.เหมือนอย่างนั้น, อลํ อ.พอละ เป็นต้น
l บทประธานนิยมแปลถัดจากบทอาลปนะ นิบาตต้นข้อความ บทกาลสัตตมี (ยกเว้นในประโยคนั้นไม่มีบทเหล่านี้อยู่ด้วย ให้แปลบทประธานได้ทันที) เช่น
l - อมฺม อหํ เภสชฺชํ น ชานามิ ฯ
l ข้าแต่แม่ อ. เรา ย่อมไม่รู้ ซึ่งเภสัช (ยา) ฯ
l - ตุมฺเห ปน สามิ ฯ
l ข้าแต่นาย ก็ อ.ท่าน ท. เล่า ฯ
l - อาจริย มยฺหํ โทโส นตฺถิ ฯ
l ข้าแต่อาจารย์ อ.โทษ ของผม ย่อมไม่มี ฯ
l - เอวํ กิร ภิกฺขเว ฯ
l ดูก่อนภิกษุ ท. ได้ยินว่า อ. อย่างนั้น หรือ ฯ

l ลำดับที ๕ บทขยายประธาน


l บทขยายประธาน คือบทที่ทำหน้าที่ขยายประธานของประโยค บางทีเรียกว่า บทวิเสสนะ หรือบทคุณนาม ในบางประโยคอาจมีหรือไม่มีก็ได้ เช่น ปณฺฑิโต ภิกฺขุ อ.ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต, ปญฺจสตา ภิกฺขู อ.ภิกษุ ท. มีร้อยห้าเป็นประมาณ, โส ทารโก อ.เด็กคนนั้น เป็นต้น
l บทขยายประธานโดยทั่วไปต้องมีลิงค์ (เพศ) วจนะ และวิภัตติเสมอกับบทประธานเสมอ ในประโยคใด มีบทขยายประธานให้แปลหลังแปลบทประธานแล้ว เช่น
l - อญฺญตโร ภิกฺขุ ปิณฺฑาย คามํ ปาวิสิ ฯ
l อ. ภิกษุ รูปใดรูปหนึ่ง เข้าไปแล้ว สู่บ้าน เพื่อบิณฑบาต ฯ
l บทขยายประธานอีกประเภทหนึ่ง ที่มิใช่ปฐมาวิภัตติ แต่มีลักษณะที่แสดงความเกี่ยวเนื่องกับบทประธาน ส่วนมากประกอบด้วยฉัฏฐีวิภัตติ สัตตมีวิภัตติ เช่น
l - อิมสฺส ปุริสสฺส ปุตฺโต ปพฺพชิโต ฯ
l อ.บุตร ของบุรุษนี้ บวชแล้ว ฯ
l - มยา สตฺถริ อาฆาโต กโต ฯ
l อ. ความอาฆาต ในพระศาสดา อันเรา กระทำแล้ว ฯ

l ลำดับที่ ๖ บทกิริยาในระหว่าง


l บทกิริยาในระหว่าง คือ บทกิริยาที่อยู่ในระหว่างประโยคต่างๆ โดยส่วนมากประกอบมาจากปัจจัยในกิริยากิตก์ มี ๒ ประเภทคือ กิริยาที่แจกได้ เช่น ต อนฺต มาน ตวนฺตุ ตาวี และแจกไม่ได้ เช่น ตูน ตฺวา  ตฺวาน
l ถ้าเป็นกิริยาที่แจกได้ก็ต้องแจกด้วยวิภัตติให้เสมอกับบทที่มันขยาย ถ้าเป็นกิริยาที่แจกไม่ได้ก็ไม่ต้องแจกวิภัตติแปลได้ทันที ให้แปลไปตามลำดับก่อน-หลังในประโยคนั้นๆ เช่น
l - โส สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อตฺตนา สหคามิโน ภิกฺขู ปริเยสนฺโต สฏฺฐี ภิกฺขู ลภิตฺวา เตหิ ลทฺธึ นิกฺขมิตฺวา... ฯ
l อ. (พระเถระ) นั้น ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา แสวงหาอยู่ ซึ่งภิกษุ ท. ผู้มีปกติเที่ยวไปกับ ด้วยตน ได้แล้ว ซึ่งภิกษุ ท. ๖๐ ออกไปแล้ว กับด้วยภิกษุ ท. เหล่านั้น ฯ
l - สาปิ (จุลฺลสุภทฺทา) ตเถว กโรนฺตี โสตาปนฺนา หุตฺวา ปติกุลํ คตา ฯ
l (อ.นางจุลลสุภัททา) นั้น กระทำอยู่ อย่างนั้น นั่นเทียว เป็นโสดาบัน เป็น ไปแล้ว สู่ตระกูลแห่งผัว ฯ

l ลำดับที่ ๗ บทขยายกิริยาในระหว่าง


l บทขยายกิริยาในระหว่าง คือ บรรดาบทนามบทใดบทหนึ่งที่อยู่หน้ากิริยาในระหว่าง ส่วนมากประกอบด้วยวิภัตตินามทั้ง ๗ วิภัตติ ทำหน้าที่ขยายความของกิริยาในระหว่างให้ชัดเจนขึ้น ให้แปลหลังจากแปลกิริยาในระหว่างแล้ว เช่น
l - โส สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อตฺตนา สหคามิโน ภิกฺขู ปริเยสนฺโต สฏฺฐี ภิกฺขู ลภิตฺวา เตหิ ลทฺธึ นิกฺขมิตฺวา... ฯ
l อ. (พระเถระ) นั้น ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา แสวงหาอยู่ ซึ่งภิกษุ ท. ผู้มีปกติเที่ยวไปกับ ด้วยตน ได้แล้ว ซึ่งภิกษุ ท. ๖๐ ออกไปแล้ว กับด้วยภิกษุ ท. เหล่านั้น ฯ





l ลำดับที่ ๘ ประโยคแทรก

l ประโยคแทรก คือ ประโยคที่แทรกเข้ามาระหว่างประโยคหลัก เนื้อความแตกต่างไปจากประโยคหลัก มีประธานและกิริยาเฉพาะตน มี ๒ ประเภท คือ
l ๑) ประโยคอนาทร คือ ประโยคที่แทรกเข้ามาในระหว่างประโยคหลัก หรือประโยคท้องเรื่อง ประกอบรูปมาจากฉัฏฐีวิภัตติ ทั้งบทนามและบทกิริยา ออกสำเนียงการแปลว่า เมื่อ ประโยคอนาทรนี้ แทรกเข้ามาตอนไหนให้แปลในตอนนั้นได้ทันที เช่น
l - เสฏฺฐิสฺส อิทญฺจิทญฺจ กโรนฺตสฺเสว ทารโก วุฑฺฒิโต ฯ
l เมื่อเศรษฐีกระทำอยู่ (ซึ่งกรรม) นี้ด้วย นี้ด้วย นั่นเทียว อ.เด็ก เจริญแล้ว ฯ
l ๒) ประโยคลักขณะ คือ ประโยคที่แทรกเข้ามาในระหว่างประโยคหลัก หรือประโยคท้องเรื่อง ประกอบรูปมาจากสัตตมีวิภัตติ ทั้งบทนามและบทกิริยา ออกสำเนียงการแปลว่า ครั้นเมื่อ ประโยคลักขณะนี้ แทรกเข้ามาตอนไหนให้แปลในตอนนั้นได้ทันที เช่น
l - ทุติยมฺปิ คพฺเภ ปติฏฺฐิเต ตสฺสา อาโรเจสิ ฯ
l แม้ในวาระที่ ๒ ครั้นเมื่อสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ ตั้งขึ้นแล้ว (สา  อิตฺถี อ. หญิงนั้น) บอกแล้ว แก่ (หญิง) นั้น ฯ

l ลำดับที่ ๙ บทขยายประโยคแทรก


l บทขยายประโยคแทรก คือ บทที่เนื่องด้วยประโยคแทรก ทำหน้าที่ขยายความของประโยคแทรกที่กล่าวมาแล้วให้มีความหมายกว้างขวางยิ่งขึ้นไป อีก ในประโยคแทรกใดๆ มีบทขยายประโยคแทรกอยู่ด้วยให้แปลถัดจากแปลประโยคแทรกได้ทันที เช่น 
l - เถรสฺส สามเณเรหิ สทฺธึ อารามํ อาคจฺฉนฺตสฺส, อชฺช สตฺตโม ทิวโส ฯ
l เมื่อพระเถระ มาอยู่ สู่อาราม กับด้วยสามเณร ท. อ.วันนี้ เป็นวันที่ ๗ ฯ
l - มยิ เอเตหิ (ภิกฺขูหิ) สทฺธึ คจฺฉนฺเต
l ครั้นเมื่อเรา ไปอยู่ กับด้วยภิกษุ ท. เหล่านั้น

l ลำดับที่ ๑๐ บทกิริยาคุมพากย์


l บทกิริยาคุมพากย์ คือ กิริยาหลักของประโยคซึ่งจะขาดเสียมิได้ ประโยคใดๆ หากไม่มีกิริยาคุมพากย์ตามหลักไวยากรณ์บาลี ไม่จัดเป็นประโยค เป็นเพียงแต่พากยางค์หรือกลุ่มคำเท่านั้น บทกิริยาคุมพากย์สร้างมาจาก ธาตุ ปัจจัย และวิภัตติในอาขยาตเป็นหลัก หรือไม่ก็สร้างมาจาก ธาตุ ปัจจัยในกิริยากิตก์บางตัว และวิภัตตินาม เป็นกิริยาที่สุดของประโยค หรือกิริยาที่บอกการกระทำเป็นครั้งสุดท้ายของบทประธานในประโยคนั้น เช่น
l - สตฺถา ปริโภคมกาสิ (ปริโภคํ อกาสิ) ฯ ฃ
l อ.พระศาสดา ได้ทรงกระทำแล้ว ซึ่งการเสวย ฯ
l - สูโท โอทนํ ปจติ
l อ.พ่อครัว หุงอยู่ ซึ่งข้าวสุก ฯ
l - ภิกฺขุ คามํ ปิณฺฑาย ปวิฏฺโฐ
l อ. ภิกษุ เข้าไปแล้ว สู่บ้าน เพื่อบิณฑะ ฯ

l ลำดับที่ ๑๑ บทขยายกิริยาคุมพากย์


l บทขยายกิริยาคุมพากย์ คือ บทที่เรียงอยู่หน้ากิริยาคุมพากย์บ้าง เรียงไว้หลังกิริยาคุมพากย์บ้าง มีความสัมพันธ์กับบทกิริยาคุมพากย์ ในฐานะเป็นบทขยายกิริยาอาการของกิริยาคุมพากย์ให้ชัดเจนกว้างขวางออกไป ต้องแปลเข้ากับกิริยาคุมพากย์เท่านั้น หลักการแปลเหมือนกับหลักการแปลบทขยายกิริยาในระหว่างที่กล่าวแล้ว เช่น
l - เถโร สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ ฯ
l อ.พระเถระ ถวายบังคมแล้ว ซึ่งพระศาสดา นั่งแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
l - สตฺถา ภตฺตคฺคํ ปวิสิตฺวา ปญฺญตฺตาสเน นิสีทิ ฯ
l อ. พระศาสดา เสด็จเข้าไปแล้ว สู่โรงเป็นที่ฉัน ประทับนั่งแล้ว บนอาสนะอันบุคคลปูลาดแล้ว ฯ

แบบฝึกหัดที่ ๑
๑. การแปลบาลีเป็นไทยมีกี่ประเภท อะไรบ้าง ?
๒. การแปลโดยยกศัพท์คือการแปลอย่างไร ยกตัวอย่างมาดู ?
๓. การแปลโดยพยัญชนะกับการแปลโดยยกศัพท์เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย ?
๔. ลำดับการแปลบาลีเป็นไทยมีกี่ลำดับ อะไรบ้าง บอกมาให้ครบ ?
๕. บทอาลปนะนาม มาคู่กันกับบทอาลปนะนิบาต มีหลักการแปลอย่างไร ยกตัวอย่างประกอบด้วย ?
๖. บทกาลสัตตมี มีหลักการแปลอย่างไร จงอธิบาย ?
๗. บทประธานมีกี่ประเภท อะไรบ้าง ประกอบวิภัตติอะไร มีสำเนียงแปลโดยพยัญชนะว่าอย่างไร ?
๘. บทขยายประธานคือบทเช่นไร ?
๙. บทกิริยาในระหว่าง มาจาก ปัจจัยอะไรบ้าง ?
๑๐. บทขยายกิริยาในระหว่างคือบทอะไร อธิบายพอเข้าใจ ?

l แบบฝึกหัดที่ ๒
l จงแปลประโยคต่อไปนี้เป็นไทย


l ๑. กุหึ ยาสิ อุปาสก ฯ
l ๒.  อมฺโภ กุมารา เอส สาลิกโปตโก คณฺหถ นํ ฯ
l ๓. สเจ เม อกฺขีนิ ปากติกานิ กาตุ สกฺขิสฺสสิ ฯ
l ๔. ตทา สาวตฺถิยํ สตฺต มนุสฺสโกฏิโย วสนฺติ ฯ
l ๕. อาจริย มยฺหํ โทโส นตฺถิ ฯ
l ๖. อญฺญตโร ภิกฺขุ ปิณฺฑาย คามํ ปาวิสิ ฯ
l ๗. มยา สตฺถริ อาฆาโต กโต ฯ
l ๘. สาปิ (จุลฺลสุภทฺทา) ตเถว กโรนฺตี โสตาปนฺนา หุตฺวา ปติกุลํ คตา ฯ
l ๙. โส สตฺถารํ วนฺทิตฺวา อตฺตนา สหคามิโน ภิกฺขู ปริเยสนฺโต สฏฺฐี ภิกฺขู ลภิตฺวา เตหิ ลทฺธึ
l      นิกฺขมิตฺวา... ฯ
l ๑๐. เสฏฺฐิสฺส อิทญฺจิทญฺจ กโรนฺตสฺเสว ทารโก วุฑฺฒิโต ฯ
l ๑๑. ทุติยมฺปิ คพฺเภ ปติฏฺฐิเต ตสฺสา อาโรเจสิ ฯ
l ๑๒. เถรสฺส สามเณเรหิ สทฺธึ อารามํ อาคจฺฉนฺตสฺส, อชฺช สตฺตโม ทิวโส ฯ
l ๑๓. เถโร สตฺถารํ วนฺทิตฺวา เอกมนฺตํ นิสีทิ ฯ



แบบฝึกหัดที่ ๓
จงแปลประโยคต่อไปนี้เป็นบาลี

ตอนที่ ๒
l ๑. ซึ่งบาตรทั้งหลาย
l  ๒. ซึ่งจีวรทั้งหลาย
l  ๓. สู่บ้าน
l  ๔. โดยภิกษุ
l  ๕.​ แก่สามเณร
l  ๖. ของพระเถระ
l  ๗. บาตรของพระอุปัชฌาย์
l ๘. สบงของสามเณร
l ๙. บนเตียง
l ๑๐. ในวิหาร
l ๑๑. ใกล้มหาวิทยาลัย
l ๑๒. จากชนบท
l ๑๓. แต่ที่ไกล

ตอนที่ ๒

l ๑. สามเณร เข้าไปสู่บ้าน เพื่อบิณฑบาต/เพื่อก้อนข้าว ฯ
l ๒. นิสิตทั้งหลาย กำลังเรียนภาษาบาลี ฯ
l ๓. อาจารย์ให้นิสิตเรียนพระพุทธพจน์
l ๔. อุบาสก ถวาย บิณฑบาตแก่สามเณร​ ฯ
l ๕. พระอุปัชฌาย์ ให้อุปสมบทแก่สัทธิวิหาริก ฯ
l ๖. บิดา ทำงานอยู่ในนา ฯ